ตอนที่ 1 เด็กรับใช้หอนางโลม
1...อาคันตุกะประหลาด
กลีบใบร่วงโรยดอกซึ่ง (ภาษาแต้จิ๋วอ่านว่าเห็ง เป็นพันธุ์ไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง) แรกบาน นางแอ่นโผผินบินผ่าน
วนเวียนรอบวารีกระจ่าง
กำแพงกั้นแบ่งชั้นในนอก คนสัญจรผ่านนอกกำแพง
ยลยินแย้มสรวลหลังกำแพง
เสียงหัวร่อเลือนรางจางหาย มากน้ำใจแลกซึ่งไร้น้ำใจจากลำนำเตี๋ยเลี่ยนฮัว (แปลตรงตัวว่าผีเสื้อหลงบุปผา ประพันธ์โดยซูตงปอราชวงศ์ซ้อง จัดอยู่ในหกสิบลำนำสมัยราชวงศ์ซ้อง)
แรกฤดูใบไม้ผลิ ความหนาวทางทิศเหนือผ่านพ้น อากาศอบอุ่นสดใส ในนครหลวงปรากฏร้อยบุปผาบานสะพรั่ง เป็นช่วงเวลาปีที่สิบห้าในรัชกาลเจียจิ้ง (ชื่อปีรัชกาลของซื่อจงฮ่องเต้) ราชวงศ์ต้าหมิง ซื่อจงฮ่องเต้ตั้งพระทัยบริหารราชการแผ่นดิน อาณาประชาราษฎร์ร่มเย็นเป็นสุข
หลังเที่ยงวันนี้ หลังกำแพงล้อมของตึกรามทางทิศใต้ของนครหลวงบังเกิดเสียงหัวร่อสดใสของเด็กหญิงดังลอดออกมา นั่นเป็นเด็กหญิงสองนางโย้ชิงช้าใต้เพิงดอกไม้บริเวณลานตึกหลัง เด็กหญิงที่อายุมากกว่าประมาณสิบเอ็ดสิบสองปี ใบหน้ารูปไข่ห่าน สวมเสื้อกั๊กลายดอก ใส่กระโปรงร้อยจีบสีเหลืองอ่อน เด็กหญิงที่อายุน้อยกว่าเพียงเจ็ดแปดขวบ หน้ากลมงดงาม ผมเกล้าเป็นมวยสองมวย ใส่เสื้อนวมเนื้อต่วนสีแดงเข้ม รับกับกางเกงแพรสีน้ำทะเลกับรองเท้าปักลายดอกประดับมุกคู่หนึ่ง เด็กหญิงทั้งสองแต่งตัวเลิศหรู แสดงว่าเป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ เด็กหญิงอายุน้อยกว่าเรียกว่าหานเอ๋อ (หานแปลว่าแอบแฝงเอ๋อตรงกับคำหนูของไทย) เป็นบุตรีโทนของมหาบัณฑิตโจวหมิงเต้า เด็กหญิงอายุมากว่าเรียกว่าหลี่หลิงหลิง มีศักดิ์เป็นเบี่ยแจ (ลูกพี่ลูกน้องที่เป็นหญิงและอายุมากกว่า) ของหานเอ๋อ
เด็กหญิงทั้งสองเล่นโย้ชิงช้าอยู่ครู่หนึ่งรู้สึกเบื่อหน่าย หลี่หลิงหลิงเสนอว่า หานเอ๋อพวกเราเล่นซ่อนหากัน ดีหรือไม่?
หานเอ๋อปรบมือสนับสนุน จากนั้นยกมือปิดตาตัวเอง กล่าวว่า เปียแจท่านแบซ่อนก่อน ข้าพเจ้าออกตามหาท่าน รีบไปได้แล้ว ข้าพเจ้าจะนับหนึ่งถึงสิบ แล้วจับตัวท่าน
หลี่หลิงหลิงกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า นับช้าๆนับช้าๆ พลางกระโดดลงจากชิงช้า ย่องฝีเท้าไปยังตึกหน้า
หานเอ๋อปิดตาตัวเอง นั่งบนชิงช้าปากนับหนึ่งถึงสิบ จากนั้นลดมือลง ร้องว่า ข้าพเจ้าจะตามหาท่านแล้ว นางพอลืมตาขึ้น กลับพบว่าที่เบื้องหน้าเพิ่มบุรุษชุดดำผู้หนึ่ง ห่างจากตัวเองเพียงหกเชียะ
หานเอ๋อแตกตื่นตะลึงลาน อ้าปากค้างแต่ปราศจากสุ้มเสียงดังออกมา เห็นบุรุษชุดดำร่างผอมสูง มือถือกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง ยกมือข้างหนึ่งกุมอก ส่งเสียงไอสองคำ ไอเป็นเลือดออกมามันส่ายโงนเงนสองครา ล้มลงกับพื้น เสียงเกรียวราวเมื่อทับกระถางกล้วยไม้แหลกไปสองกระถาง หากยังยกมือกุมอกส่งเสียงไอออกมา
หานเอ๋อค่อยสังเกตเห็นว่าบนร่างคนผู้นี้รับบาดแผลหลายแห่ง เสื้อผ้าชุดดำถูกชโลมด้วยโลหิต ปากแผลที่หัวไหล่และเท้ายังมีโลหิตไหลออกมา นางเป็นคุณหนูเยาว์วัย ไหนเลยเคยเห็นสภาพเช่นนี้มาก่อน ต้องนั่งแข็งทื่ออยู่บนชิงช้า
ยามนั้นบนกำแพงล้อมเพิ่มเงาร่างสามสายขึ้น คนผู้หนึ่งร้องว่า อยู่ที่นี้ คนทั้งสามกระโดดปราดลงมา รายล้อมบุรุษชุดดำเอาไว้ จ่อดาบกระบี่ใส่ฝ่ายตรงข้าม คนทั้งสามสวมเสื้อแพรสีเหลือง หานเอ๋อจดจำออกว่าเป็นเครื่องแบบราชองครักษ์วังหลวง ได้ยินคนผู้หนึ่งกล่าวว่า ท่านเข้าใจว่าเมื่อซ่อนตัวในตึกมหาบัณฑิตพวกเราไม่กล้าติดตามเข้ามาหรือ?
คนอ้วนอีกผู้หนึ่งกล่าวว่า รีบมอบสิ่งของออกมา เห็นแก่พวกเราเคยเป็นพี่น้อง อาจละเว้นชีวิตท่านสักครา
บุรุษชุดดำแค่นหัวร่อกล่าวว่า ผู้ใดเรียกพี่เรียกน้องกับท่าน? ชนชั้นสวะเช่นท่าน เรายังไม่เห็นอยู่ในสายตา
กล้ามเนื้อบนใบหน้าคนอ้วนนั้นสั่นกระตุกคราหนึ่ง สะบัดดาบฟันใส่เท้าของบุรุษชุดดำบุรุษชุดดำนอนกับพื้น คล้ายได้แต่รับการเชือดเฉือนสถานเดียว แต่ว่าดาบของคนอ้วนนั้นไม่ทันฟันลง ตัวเองกลับแผดร้องออกมา เซถอยไปหลายก้าว ยกมือกุมแก้มซ้าย ตามร่องนิ้วปรากฏโลหิตหลั่งไหล ปากร่ำร้องด่าทอ ที่แท้ถูกบุรุษชุดดำชิงสะบัดกระบี่ทำร้ายใบหน้ามัน
อีกสองคนตวาดโดยพร้อมเพรียง สะบัดดาบฟันกระบี่ลงยังศีรษะบุรุษชุดดำ บุรุษชุดดำไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา
คนทั้งสองพอฟัง พากันหยุดดาบกระบี่ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ คนทางซ้ายถามว่า ท่านซุกซ่อนอยู่ที่ใด?
อีกคนหนึ่งกล่าวว่า คนผู้นี้กลองกลิ้งยิ่งยังคงคร่ากุมกลับไป มอบให้หงตูจู่ (ผู้บัญชาการแซ่หง) สอบสวนเถอะ
บุรุษชุดดำสั่นศีรษะกล่าวว่า พี่หวัง ท่านคิดจับตัวเรากลับไป ถือว่าทำตามหน้าที่ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าเราหยิบฉวยสิ่งของใด?
คนแซ่หวังลังเลเล็กน้อยจึงกล่าว เราไม่ทราบ เราเพียงทราบว่าท่านขโมยสิ่งของสำคัญภายในวังออกมา
บุรุษชุดดำกล่าวอย่างแช่มช้าว่า ซึ่งความจริงสิ่งของเป็นของกลางที่หงตูจู่ขโมยออกจากวังเรื่องนี้มันไม่กล้ากระโตกกระตาก เพียงส่งพวกท่านออกมาทวงถามกลับคืน หากพวกท่านทราบว่าสิ่งที่เราขโมยออกมาเป็นสิ่งของใด หงตู่จู่ต้องฆ่าปิดปากพวกท่านอย่างแน่นอน
คนแซ่หวังแค่นเสียงดังเฮอะกล่าวว่า เราจงรักภักดีต่อหงตูจู่ จึงไม่เชื่อวาจาผีสางของท่านนี่เรียกว่าผู้คุมกลับลักขโมยเอง ทั้งที่เป็นราชองครักษ์วังหลวง กลับประพฤติชั่วช้า ช่างไร้ยางอายจริงๆ
บุรุษชุดดำทอดถอนใจ หันไปกล่าวกีบอีกคนหนึ่งว่า พี่หลิน ท่านเชื่อคำพูดเรา หรือว่าเชื่อหงตูจู่?
คนแซ่หลินนั้นสั่นศีรษะกล่าวว่า เจิ้งหานชิง ตอนนี้ท่านกล่าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ระหว่างที่ท่านหลบหนีอออกจากวัง ถึงกับฆ่าราชองครักษ์ตงฉ่าง*สิบกว่าคน ต่อให้ท่านไม่ได้ขโมยสิ่งของใด หนี้โลหิตรายนี้ก็ต้องชดใช้
*แปลตรงตัวว่าค่ายตะวันออก จัดตั้งโดยปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์หมิง เป็นสำนักปฏิบัติงานของขันทีฝ่ายใน มีหน้าที่ติดตามจับกุมผู้กระทำผิดในรัชกาลต่อมายงจัดตั้งค่ายตะวันตก รับหน้าที่ลอบสังหาร ใช้อำนาจในทางมิชอบ
บุรุชุดดำทอดถอนใจกล่าวว่า อย่างนั้นเราขอยกความดีความชอบแก่พวกท่านเถอะ พี่หลินพี่หวัง สิ่งของนั้นซ่อนอยู่ที่...ซ่อนอยู่ที่...แค๊กแค๊ก...
คนแซ่หลินกับคนแซ่หวังพากันก้มศีรษะลงมา คิดรับฟังให้ชัดเจน บุรุษชุดดำพลันลอยตัวขึ้น กระบี่ในมือกรีเป็นประกายสีเงินสายหนึ่ง คนทั้งสองล้วนถูกกระบี่เชือดใส่คอหอย หยาดโลหิตฉีดพุ่ง สีหน้าปรากฏแววหวาดหวั่นพรั่นพรึง หงายร่างล้มลง บิดกระตุกอยู่หลายคราก็แน่นิ่งไป
คนอ้วนนั้นชมดูจนหน้าซีดเผือด ร้องอุทานคำหนึ่ง หมุนตัวหมายหลบหนี บุรุษชุดดำสะบัดมือขวา ซัดกระบี่ออก ปักใส่กลางหลังคนอ้วนนั้น คนอ้วนนั้นล้มคว่ำลง คืบคลานไปหลายก้าว สุดท้ายนิ่งเงียบงันไป
บุรุษชุดดำนั่งหอบหายใจบนพื้นครู่หนึ่ง ค่อยกัดฟันลุกขึ้น เตะซากศพของคนแซ่หลินกับคนแซ่หวังไปในพงหญ้ามุมลานตึก จากนั้นเดินช้าๆไป ถอนกระบี่จากกลางหลังคนอ้วนนั้นค่อยเตะร่างคนอ้วนนั้นไปในพงหญ้า สุดท้ายหมุนตัวมาทางหานเอ๋อ
หานเอ๋อชมดูฉากการฆ่าฟันจนตะลึงลานตั้งแต่แรก นั่งแข็งทื่ออยู่บนชิงช้า ไม่อาจขยับเคลื่อนไหว เห็นบุรุษชุดดำเดินช้าๆ เข้าหาตัวเองแต่ละก้าวต้องใช้พละกำลังจนหมดสิ้น คล้ายกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อ แต่ในที่สุดมาถึงเบื้องหน้าหานเอ๋อ ย่อกายลงหันหน้าหานาง
หานเอ๋อเห็นใบหน้ามันแปดเปื้อนคราบโลหิต สองตาสาดประกายดุจสายฟ้า สร้างความหวาดหวั่นจนร่างสั่นระริก แต่บุรุษชุดดำพอเอ่ยปาก กลับกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า ท่านเป็นคุณหนูตระกูลโจวนามหานเอ๋อกระมัง?
หานเอ๋อคิดไม่ถึงว่าอาคันตุกะประหลาดผู้นี้ทราบชื่อตัวเอง สร้างความตื่นเต้นสงสัยยิ่ง แต่ไม่กล้าไม่ตอบคำ ผงกศีรษะคราหนึ่ง
บุรุษชุดดำเงยหน้ามองท้องฟ้า คล้ายครุ่นคิดเรื่องสำคัญอันใด ชั่วครู่ให้หลังค่อยทอดถอนใจยาว ล้วงห่อผ้าเล็กๆ จากอกเสื้อ ห่อผ้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม ภายในคล้ายห่อหุ้มตำราเล่มหนึ่ง มันยื่นส่งห่อผ้าแก่หานเอ๋อ กล่าวว่า เที่ยงคืนของคืนนี้มีต้าเหนียง (คำเรียกสตรีวัยกลางคน) นางหนึ่งกับเด็กหญิงผู้หนึ่งมายังข้างบ่อน้ำลานตึกหลังบ้านท่าน ให้ท่านมอบห่อผ้าใบนี้แก่ต้าเหนียงนั้น
คำพูดหลายประโยคนี้คล้ายกับออกคำสั่ง หามีน้ำเสียงวิงวอนไม่ หานเอ๋อรับฟังอย่างซึมเซา ทั้งไม่ตอบคำ และไม่ยื่นมือรับไว้ยามตื่นตระหนกถึงขีดสุด กลับลืมความหวาดกลัวไป
บุรุษชุดดำกล่าวอีกว่า ท่านบอกต่อต้าเหนียงนั้น ให้นางหลบหนีไปยังภูเขาหู่ซาน ขอความคุ้มครองจากอีเสีย (แพทย์ผู้กล้า) ส่องสามีภรรยา ห่อผ้านี้...กับจดหมายที่สอดอยู่ภายใน ล้วนมอบต่อไภษัชคุรุ ได้ยินชัดเจนหรือไม่? คำพูดประโยคสุดท้ายส่งเสียงดังกว่าเดิม หานเอ๋อใจหายวาบ รีบผงกศีรษะรับ
บุรุษชุดดำกล่าวว่า เรื่องที่ท่านพบเห็นเมื่อครู่ ตลอดจนคำไหว้วานของเรา ห้ามบอกต่อบิดามารดาท่าน หรือว่าผู้ใดทั้งสิ้น ท่านทำตามคำพูดเรา ค่อยช่วยให้บิดามารดาท่านปลอดภัยหากแพร่งพรายออกไป จะพบกับชะตากรรมบ้านช่องพินาศผู้คนล้มตาย เที่ยงคืนของคืนนี้ต้องส่งมอบสิ่งของแก่พวกนาง หากท่านไม่ทำตามคำพูดเรา เราตายแล้วกลับกลายเป็นภูตร้ายก็จะตามรังควานท่าน กล่าวถึงตอนท้าย น้ำเสียงและสีหน้าล้วนเกรี้ยวกราดดุร้าย หานเอ๋อหน้าซีดเผือด น้ำตาเอ่อคลอหน่วยแทบหยดหยาด ยามนี้ พลันอุทานดังอา ร้องไห้โฮออกมา
บุรุษชุดดำมีสีหน้าผ่อนคลาย สอดห่อผ้าไปในอกเสื้อนาง กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า เด็กอันประเสริฐ เจ้าต้องเชื่อฟังวาจา เรื่องนี้สำคัญยิ่งยวด คืนนี้มอบสิ่งของต่อพวกนาง เรื่องเมื่อครู่ห้ามบอกต่อผู้ใด ทราบหรือไม่? เห็นหานเอ๋อร้องไห้พลางผงกศีรษะพลาง ค่อยยิ้มเล็กน้อยหันกายไปช้าๆ เดินกะโผลกกะเผลกถึงเชิงกำแพง พลันเหลียวหน้ามากล่าวว่า ท่าน...ท่านบอกต่อเด็กหญิงนั้นว่า ก่อนที่นางมีอายุยี่สิบปี ห้ามเปิดดูสิ่งของนั้น ยังมี...บิดานางไปแล้ว ให้นางจดจำไว้ว่านางเป็นบุตรสุดสวาทของบิดาตลอดไป... เอ่ยถึงตอนท้ายสุ้มเสียงสั่นเครือ ร่างสั่นสะท้านล้มไปยังเบื้องหน้า กลืนหายกับพุ่มไม้ดอก
หานเอ๋อนั่งอยู่บนชิงช้า เนิ่นนายยังไม่เคลื่อนไหว คล้ายกับว่าตัวเองตื่นจากฝันร้ายหากแต่เพียงฝันไป หาเป็นความจริงไม่ รู้สึกมีสายลมโชยพัดผ่าน หานเอ๋อพบว่ากลางหลังเย็นวะวาบ กลับหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา พลันได้ยินที่ด้านหลังบังเกิดสุ้มเสียงหนึ่งร้องว่า หานเอ๋อท่านไฉนไม่ไปตามหาเรา?
หานเอ๋อสะดุ้งเฮือกเหลียวหน้าไป พบว่าเปียแจเดินกลับมาอย่างขุ่นเคือง ที่แท้หลี่หลิงหลิงซ่อนตัวที่ลานตึกหน้าอยู่ครึ่งค่อนวัน ไม่เห็นหานเอ๋อสืบเสาะมา จึงย้อนกลับมาชมดู พบว่านางยังนั่งอยู่บนชิงช้า ใบหน้าขาวซีดดุจกระดาษ ต้องงงงันวูบหนึ่ง จึงกล่าวว่า หานเอ๋อ ท่านเป็นไรแล้ว?
หานเอ๋อระงับสติ กล่าวคำ ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้า... สุ้มเสียงแหบพร่า ไม่อาจกล่าววาจาใดได้ นางกระโดดลงจากชิงช้า ไม่ทราบเรียกกำลังขวัญจากที่ใด พลันฉุดดึงมือเปียแจ เดินไปยังพุ่มไม้ดอกที่บุรุษชุดดำหายสาบสูญ เห็นบนแผ่นหินหลังพุ่มไม้ดอกแปดเปื้อนคราบโลหิตเป็นหย่อมๆ บุรุษชุดดำไม่ทราบไปยังที่ใดแล้ว
ยามนี้ท้องฟ้ามืดค่ำลง หลี่หลิงหลิงไม่ทันสังเกตเห็นคราบโลหิต เพียงรู้สึกว่าที่นี้เย็นยะเยือก ถึงกับขนลุกเกรียว กล่าวว่า หานเอ๋อ พวกเรากลับเข้าห้องเถอะ
หานเอ๋อก้มศีรษะมองดูห่อผ้าในอ้อมอกหวนนึกถึงที่มุมลานตึกยังนอนไว้ด้วยซากศพสามซาก อดหวาดหวั่นมิได้ รีบติดตามเปียแจกลับเข้าห้อง
2...คราเคราะห์ที่ไม่ได้ก่อ
ค่ำวันนั้นหานเอ๋อรับประทานอาหารค่ำโดยที่จิตใจไม่อยู่กับตัว จากนั้นกลับมานั่งจับเจ่าอยู่ภายในห้อง บิดามารดานางออกจากบ้านไปร่วมงานเลี้ยง ต่อให้นางคิดบอกเล่าเหตุการณ์เมื่อหลังเที่ยงต่อบุพการีก็ทำไม่ได้ อย่าว่าแต่อาคันตุกะประหลาดนั้นกำชับมิให้นางบอกต่อผู้ใด
นางเป็นคุณหนูในตระกูลขุนนาง ได้รับการเลี้ยงดูอย่างทะนุดถนอมตั้งแต่เล็ก ไม่ว่าเรื่องราวใหญ่น้อยใด มารดา แม่นมและหญิงรับใช้ทั้งหลายล้วนจัดการให้กับนาง มิต้องให้ตัวเองวุ่นวาย ยามนี้ประสบเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้รู้สึกจิตใจว้าวุ่น ไม่ทราบทำอย่างไรดี
จวบกระทั่งถึงยามซวี (ภาษาแต้จิ๋วออกเสียงว่ายามสนุก หมายถึงเวลาหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม) หญิงรับใช้เข้าห้องมาปรนนิบัตินางขึ้นเตียงเข้านอน หานเอ๋อนอนบนเตียง ไหนเลยข่มตาหลับได้ นางพลิกตัวไปมา ในใจเฝ้าครุ่นคิด คืนนี้เราสมควรไปที่ข้างบ่อน้ำหรือไม่?
นางนึกทบทวนเรื่องราวที่อาคันตุกะประหลาดนั้นฝากฝังให้เที่ยวหนึ่ง นึกไปนึกไป ค่อยคลายความหวาดหวั่น เกิดความสงสัยอยากรู้ล้วงห่อผ้าที่อาคันตุกะประหลาดนั้นมอบให้จากใต้ผ้าห่ม
ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง เห็นห่อผ้านั้นห่อด้วยผ้าเนื้อหยาบลายดอกสีคราม หมายถึงเวลาหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่มยังมีคราบโลหิตสีน้ำตาลคล้ำหลายหย่อม หานเอ๋อแก้ห่อผ้าออก เห็นภายในมีห่อกระดาษน้ำมันห่อนหนึ่ง ทับไว้ด้วยจดหมายฉบับหนึ่ง จ่าหน้าซองว่า เรียนแพทย์ผู้กล้า ที่ซองประทับตราครั่งไว้
นางวางจอดหมายไว้ที่ด้านข้าง แก้ห่อกระดาษน้ำมันออก เห็นภายในมีตำราเบาบางเล่มหนึ่ง หน้าปกเป็นสีครามเข้ม แต่ไม่มีตัวอักษรไม้สักตัวเดียว นางพลิกดูหน้าแรก พบว่าข้างในก็ว่างเปล่า หามีตัวอักษรไม่ นางพลิกไปพลิกมา ทั้งสามสิบกว่าหน้าล้วนว่างเปล่า สร้างความสงสัยใจแก่หานเอ๋อยิ่ง ครุ่นคิดขึ้น หนังสือเล่มนี้มีความสำคัญถึงเพียงนี้ ไฉนไม่มีอักษรแม้สักตัวเดียว?
นางคิดจุดไฟส่องดู แต่กลัวว่าหญิงรับใช้นอกห้องเห็นแสงไฟเข้ามาสอบถาม จึงเลิกล้มความคิด พอเงยหน้าขึ้น เห็นเดือนเสี้ยวที่นอกหน้าต่างแขวนอยู่เหนือกิ่งไม้ นางบังเกิดความเคว้งคว้าง ครุ่นคิดขึ้น ตอนนี้เป็นเวลาใดแล้ว? ยามเที่ยงคืนเราจะไปที่ข้างบ่อน้ำลานตึกหลังจริงๆ?
นางห่อตำราเก็บซ่อนอยู่ใต้ผ่าห่ม นอนอยู่บนเตียงฟังเสียงนาฬิกาทราย เห็นว่าตัวเองรั้งอยู่ภายในห้องไม่ออกไป ก็ไม่มีผู้ใดทราบ จากนั้นครุ่นคิด ไม่ เรารับปากคนผู้นั้นว่าจะส่งสิ่งของไป ไหนเลยเสียสัจจะได้? มันคล้ายกับใกล้ตายแล้ว หากเราไม่ทำตามัน มันคงเศร้าเสียใจยิ่ง
หวนนึกถึงบุรุษชุดดำอาจเสียชีวิตแล้ว ข้างหูคล้ายแว่วเสียงของมันดังว่า หากท่านไม่ทำตามคำพูดเรา เราตายแล้วกลับกลายเป็นภูตร้ายก็จะตรมรังควานท่าน นึกถึงตอนนี้ ต้องสยิวกายด้วยความหนาวเหน็บ
จวบจนใกล้เที่ยงคืน ในที่สุดหานเอ๋อคลุมเสื้อผ้าลงจากเตียง ย่องฝีเท้าไปเปิดประตูเดินไปยงลานตึกหลัง ตึกตระกูลโจวมีทั้งสิ้นเจ็ดช่วงตึก ช่วงสุดท้ายเป็นลานเล็กๆ เป็นที่อยู่ของคนรับใช้ ข้างลานตึกเป็นห้องครัว บ่อเพียงบ่อเดียวในบ้านอยู่ทรงมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือใกล้กับห้องครัว
หานเอ๋อตัดผ่านทางระเบียง สวนดอกไม้ชั้นในและลานบ้านหลายแห่ง มาถึงหน้าห้องครัวได้ยินรอบข้างเงียบสงัด คนรับใช้เข้านอนหมดแล้ว นางรวบคว้าห่อผ้าในอกเสื้อ มาถึงข้างประตูตึกช่วงสุดท้าย ประตูไม่ได้ปิดสนิท เมื่อมองลอดร่องประตูออกไป ลานตึกช่วงสุดท้ายเงียบวังเวง แสงจันทร์ส่องต้องบ่อน้ำบ่อนั้น เป็นประกายลี้ลับอย่างเลือนราง
หานเอ๋อพลันฉุกคิดขึ้น จดหมายฉบับนั้น พลางตรวจดูห่อผ้านั่น พบว่าตอนที่ห่อหนังสือกลับคืน ลืมสอดจดหมายเข้าไป คิดกลับไปหยิบฉวยก็ไม่ทันการณ์ ดันนั้นครุ่นคิด รอสักครู่เราพบกับต้าเหนียงนั้น ค่อยบอกต่อนาง ให้นางรอสักครู่ เราจะกลับไปหยิบจดหมายมามอบต่อนาง
ในยามนั้นที่ข้างบ่อน้ำมีเงาดำเคลื่อนไหววูบหนึ่ง มีคนมาถึงข้างบ่อ หานเอ๋อบังเกิดความยินดี คิดเข้าไปทักทายถามไถ่ ยังไม่ทันออกจากห้องครัว คนผู้นั้นก็พบเห็นนาง ผลักประตูตึกมาถึงห้องครัว คว้าจับข้อมือนางไว้ ตวาดเบาๆว่า ผู้ใด?
หานเอ๋อรู้สึกข้อมือคล้ายถูกปลอกเหล็กรัดไว้ สร้างความเจ็บปวดจนร้องออกมา คนผู้นั้นชิดปิดปากนางไว้ กล่าวว่า เราทราบแล้ว เจ้าเป็นบุตรีของเจิ้งหานชิง กล่าวว่า เราทราบแล้ว เจ้าเป็นบุตรีของเจิ้งหานชิง มารดาเจ้าเล่า?
มันสุ้มเสียงแหลมเล็ก แต่ไม่คล้ายเป็นสตรี ยามนี้หานเอ๋อค่อยเห็นชัดตาว่าคนผู้นี้หน้าตาอัปลักษณ์ ใต้คางไร้หนวดเครา แต่มิใช่สตรี
ในยามแตกตื่นลนลาน คนหน้าอัปลักษณ์นั้นพลันอุทานเบาๆคำหนึ่ง ฉุดลากหานเอ๋อถอยกายไปหลายก้าว หานเอ๋อเหลียวหน้ามอง พบว่าในบริเวณเพิ่มคนชุดเทาผู้หนึ่ง สะอึกปราดเข้ามาประกายเย็นเยียบวูบขึ้นแวบหนึ่ง จ้วงแทงมีดสั้นเล่มหนึ่งใส่คนหน้าอัปลักษณ์นั้น
คนหน้าอัปลักษณ์ชักดาบสั้นออกมาเล่มหนึ่ง เสียงตังตังติดต่อกัน เมื่อปิดป้องต้านรับไว้หลายมีด ปากตวาดว่า ไม่ต้องการชีวิตของบุตรีท่านหรือ?
ไม่ทันขาดคำ พลันครางหนักๆคำหนึ่ง คล้ายกับได้รับบาดเจ็บ คลายมือจากการคร่ากุมหานเอ๋อ คนชุดเทาสืบเท้าเข้าหา ตวัดมีดสั้นปักลง ปักใส่ทรวงอกคนหน้าอัปลักษณ์คนหน้าอัปลักษณ์ไม่ทันแค่นเสียงครวญครางก็เสียชีวิตไป
คนชุดเทาเหลียวหน้ามายังหานเอ๋อ ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง เห็นโฉมหน้าหานเอ๋อชัดตาต้องร้องอุทานว่า คุณหนู เป็นท่าน ท่านไฉนมายังที่นี้?
ยามนั้นหานเอ๋อก็เห็นชัดตาว่า คนชุดเทากลับเป็นแม่ครัวที่ทำงานในบ้านปีเศษนามรุ่ยต้าเหนียง รุ่ยต้าเหนียงมีฝีมือในการปรุงอาหารปักกิ่ง เป็นสหายสนิทของบิดานางแนะนำมา หานเอ๋อชมชอบรับประทานไก่ห่อกระดาษกับเกี๊ยวเปลือกไข่ของนางที่สุด นางเป็นแม่ครัวออกจากห้องครัวไม่น่าประหลาด ที่น่าประหลาดคือกลับปรากฏกายยามวิกาล ทั้งยังฆ่าคนคนหนึ่ง
หานเอ๋อเรียกหา รุ่ยต้าเหนียง... รุ่ยต้าเหนียงยกมือเป็นความหมายให้สงบสุ้มเสียงเข้ามาฉุดดึงมือนางจนถึงซอกมุมหนึ่งของลานตึก ค่อยกล่าวว่า คุณหนู ผู้ใดให้ท่านมายังที่นี้?
หานเอ๋อรีอรอลังเล ไม่ทราบตอบว่าอย่างไรดี พลันได้ยินสุ้มเสียงเด็กหญิงเสียงหนึ่งดังว่า ท่านแม่ ท่านพ่อมาแล้วหรือ?
เห็นหลังภูเขาจำลองไปรากฎเด็กหญิงนางหนึ่งเดินอ้อมออกมา นางมีอายุไล่เลี่ยกับตัวเอง กลางหลังสะพายห่อผ้าใบหนึ่ง สวมใส่ชุดรัดกุมคล้ายตระเตรียมเดินทางไกล
หานเอ๋อพอเห็นโฉมหน้านางชัดตา จดจำออกว่าเป็นบุตรีของรุ่ยต้าเหนียงนามเป่าเอ๋อ เป่าเอ๋อติดตามผู้เป็นมารดาเข้ามายังบ้านตระกูลโจว ปรกติขลุกอยู่ในครัว หานเอ๋อเคยพบหน้านางหลายครั้ง ยามนั้นมองดูพวกนางสองแม่ลูก พลันฉุกคิดขึ้น ใช่แล้ว อาคันตุกะประหลาดนั้นบอกว่ามีต้าเหนียงนางหนึ่งกับเด็กหญิงผู้หนึ่งมาถึงมิใช่เป็นพวกนางหรอกหรือ? ดังนั้นเลียบเคียงถามว่า ต้าเหนียง เมื่อครู่ท่านมารอคนที่ข้างบ่อน้ำหรือ?
รุ่ยต้าเหนียงหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อยกล่าวว่า ถูกแล้ว ท่านทราบได้อย่างไร?
หานเอ๋อกล่าวว่า เนื่องเพราะมีคนให้ข้าพเจ้ามาที่ข้างบ่อน้ำ รอคอยต้าเหนียงนางหนึ่งกับเด็กหญิงผู้หนึ่ง ส่งมอบของสิ่งหนึ่งแก่พวกนาง
รุ่ยต้าเหนียงหน้าเคร่งขรึมลง กล่าวว่า ผู้ที่ฝากฝังท่าน ใช่เป็นบุรุษร่างผอมสูงแซ่เจิ้งหรือไม่?
หานเอ๋อผงกศีรษะกล่าวว่า ถูกแล้ว ข้าพเจ้าได้ยินคนเหล่านั้นเรียกเขาเป็นเจิ้งหานชิง
รุ่ยต้าเหนียงกล่าวด้วยความยินดีว่า ใช่แล้ว นั่นเป็นเซี่ยงกง (คำเซี่ยงกงแปลได้สองสถาน หนึ่งเป็นคำที่ภรรยาเรียกสามี หนึ่งเป็นคำเรียกคุณชายสูงศักดิ์) เรา จากนั้นขมวดคิ้วกล่าวว่า คนเหล่านั้น? คนเหล่านั้นเป็นใคร?
หานเอ๋อจึงบอกเล่าเหตุการณ์ข้าฝันที่ข้างชิงช้าเมื่อหลังเที่ยงออกไป พอเล่าจบก็ล้วงห่อผ้าจากอกเสื้อ ส่งให้กับรุ่ยต้าเหนียง กล่าวว่า เขาให้ข้าพเจ้ามอบสิ่งของนี้แก่ท่าน ทั้งยังให้พวกท่านหลบหนีไปยังภูเขาหู่ซาน ขอความคุ้มครองจาก...จากแพทย์ผู้กล้าสองสามี ยังบอกว่าสิ่งของต้องส่งมอบต่อแพทย์ผู้กล้า
สีหน้ารุ่ยต้าเหนียงยิ่งมายิ่งเคร่งเครียด ถามว่า เขายังสั่งว่าอะไร?
หานเอ๋อนึกถึงคำพูดก่อนจากไปของบุรุษชุดดำ จึงกล่าว เขาให้ข้าพเจ้าบอกต่อเด็กหญิงนั้นว่าก่อนที่นางจะมีอายุยี่สิบปี ห้ามเปิดดูสิ่งของนั้น ยังบอกว่า...บิดาไปแล้ว ให้นางจดจำไว้ว่านางเป็นบุตรสุดสวาทของบิดาตลอดไป
คำพูดเหล่านี้กล่าวด้วยสำเนียงไร้เดียงสารุ่ยต้าเหนียงกับเป่าเอ๋อรับฟังจนหลั่งน้ำตาออกมา หานเอ๋อมองดูพวกนางสองแม่ลูก คาดเดาได้ว่าอาคันตุกะประหลาดนั้นเป็นบิดาของเป่าเอ๋อ ดูท่าคงไม่กลับมาอีก พลอยลำบากใจแทนพวกนาง
รุ่ยต้าเหนียงสูดลมหายใจคำหนึ่ง ยกมือปาดเช็ดน้ำตา กล่าวว่า คุณหนูหานเอ๋อ ขอบคุณท่านที่ส่งมองสิ่งของถ่ายทอดวาจาแทนเซี่ยงกง เรา เป่าเอ๋อเจ้ารีบคำนับขอบคุณคุณหนูหานเอ๋อ
เป่าเอ๋อพอฟังคุกเข่าลง โขกศีรษะต่อหานเอ๋อ หานเอ๋อหวนนึกถึงตัวเองยังลืมเลือนจดหมายฉบับนั้น บังเกิดความละอายใจ รีบกล่าวว่า ไม่ ท่านรีบลุกขึ้น ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้ายังลืมจดหมายฉบับหนึ่งอยู่ในห้อง ข้าพเจ้าจะไปนำมามอบให้
รุ่ยต้าเหนียงไม่ทันตอบคำ พลันได้ยินสุ้มเสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่งดังว่า เจิ้งต้าเหนียง*เซี่ยงกงท่านตายใต้เงื้อมมือหงตูจู่ (ผู้บัญชาการแซ่หง) แล้ว ท่านไฉนยังมิรีบไปจัดพิธีศพ?
สุ้มเสียงอีกเสียงหนึ่งดังว่า คร่ากุมนางไว้สิ่งของต้องอยู่ที่หญิงม่ายนี้
รุ่ยต้าเหนียงหันขวับไปด้วยความตระหนก เห็นที่ห่างไปยืนไว้ด้วยผู้คนสองคน ล้วนแต่งกายเช่นขุนนางค่ายตะวันออก พากันโบกแส้ปัดจู่โจมเข้ามา
รุ่ยต้าเหนียงมีปฏิกิริยารวดเร็ว ตวัดมีดสั้นปิดซ้ายป้องขวา ได้ยินเสียงตังตัง ที่แท้แส้ปัดทั้งสองด้ามหลอมจากเหล็ก รุ่ยต้าเหนียงไม่รอให้ทั้งสองพลิกแพลงเปลี่ยนกระบวนท่า ชิงจ้วงแทงมีดสั้นใส่จุดสำคัญของศัตรูขุนนางทั้งสองตวาดเสียงแหลมเล็ก กลับกลายเป็นฝ่ายตั้งรับ
เคล็ดวิชาฝีมือมีคำกล่าวว่า ยาวหนึ่งนิ้วเข้มแข็งหนึ่งส่วน สั้นหนึ่งนิ้ว อันตรายหนึ่งส่วน รุ่ยต้าเหนียงใช้มีดสั้นเป็นอาวุธ ความจริงเป็นฝ่ายมีเปรียบ แต่นางใช้กระบวนท่าพลิกแพลงเผ็ดร้อน ประกายมีดฉวัดเฉวียนดุจงูเงินเต็มท้องฟ้า ต่อสู้กับแส้ปัดทั้งส่องด้ามอย่างดุเดือด
เป่าเอ๋อเห็นมารดาต่อสู้กับผู้คน รีบฉุดดึงหานเอ๋อล่าถอยมาด้านข้าง หานเอ๋อเป็นห่วงจดหมายฉบับนั้น จึงกล่าว เป่าเอ๋อ ท่านตามข้าพเจ้ากลับห้องไปรับจดหมาย ดีหรือไม่?
เป่าเอ๋อสั่นศีรษะกล่าวว่า ข้าพเจ้าต้องอยู่ที่นี้ช่วยเหลือท่านแม่ คุณหนูหานเอ่อ ท่านรีบกลับเข้าห้อง คืนนี้อย่าได้ออกมาอีก หากพวกเราขับไล่คนเหล่านี้สำเร็จ จะกลับมารอรับจดหมายจากท่านเอง รีบไป
หานเอ๋อถูกเป่าเอ๋อผลักไส ทั้งยังได้ยินเสียงอาวุธปะทะกันไม่ขาดหู สร้างความแตกตื่นพรั่นพรึง รีบวิ่งกลับเข้าห้อง ทางหนึ่งวิ่งทางหนึ่งเหลียวหน้ามอง ดีที่ไม่มีผู้คนติดตามมา
นางวิ่งกลับเข้าห้องตัวเอง เสียงฝีเท้าปลุกหญิงรับใช้ตื่นขึ้นมา เห็นหานเอ๋อหอบหายใจที่ข้างประตู จึงกล่าว คุณหนู ดึกดื่นค่อนคืนท่านไปที่ใด?