นงคราญภายในถ้ำ อาภรณ์รุ้งอันเลิศล้ำ "#2"
ทั้งสองออกจากนครหลวง กลางวันเดินทางกลางคืนพักผ่อน ระหว่างทางวิพากษ์วิจารณ์วิทยายุทธ กลับไม่เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ผ่านไปยี่สิบกว่าวันตัดผ่านมณฑลซัวไซ มาถึงชายแดนมณฑลเซียมไซด้านตะวันตก
ระหว่างทางมีคนติดต่อกับแต้อั้งไท้ไม่ขาดสาย วันนี้มาถึงเมืองฮั้วอิม สามารถเห็นภูเขาฮั้วซัวอันตระการตา โต๊ะอิดพั้งหวนนึกถึงบนยอดเขาเลาะงังภูเขาฮั้วซัว มีอารามนักพรตหลังหนึ่ง นักพรตในอารามฉายาเจ็งเคี้ยงเต้าหยิน เป็นสหายกับซือแป๋ ซือแป๋เคยสั่งไว้ หากเขาเดินทางกลับมาตุภูมิ ให้ไปเยี่ยมคำนับท่าน จึงบอกต่อแต้อั้งไท้
แต้อั้งไท้กล่าวว่า “ประเสริฐมาก พวกเราพานพักอยู่ที่นี้สองวัน เราก็จะรอคอยสหายหลายคน”
เช้าวันรุ่งขึ้น โต๊ะอิดพั้งขึ้นเขาฮั้วซัวเพียงลำพัง ภูเขาฮั้วซัวจัดอยู่ในห้าบรรพตใหญ่* ของประเทศ แวดล้อมด้วยยอดเขาเซี้ยวเอี้ยง เลาะงัง เน้ยฮวย ฮุ้นไห้ เง็กนึ่งห้าลูก ลักษณะคล้ายกลีบบุปผาที่เสียดฟ้าทิวทัศน์งดงามตระการตา
(* ห้าบรรพตใหญ่ประกอบด้วยภูเขาไท้ซัว ซึ่งเรียกเป็นบรรพตบูรพา ภูเขาฮั้วซัว ซึ่งเรียกเป็นบรรพตประจิม ภูเขาเห็งซัว ซึ่งเรียกเป็นบรรพตอุดร ภูเขาฮ่วงซัว ซึ่งเรียกเป็นบรรพตทักษิณ ภูเขาซงซัว ซึ่งเรียกเป็นบรรพตกลาง)
ยอดเขาเลาะงัง (ห่านป่าร่วง) เป็นยอดเขาลูกที่สองของภูเขาฮั้วซัว โต๊ะอิดพั้งเดินเป็นเวลานาน เมื่อถึงกลางภูเขา เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้วบนยอดเขาปกคลุมด้วยเมฆหนาทึบ ท้องฟ้ามืดครึ้มเลือนราง โต๊ะอิดพั้งกริ่งเกรงเกิดฝนตก ดีที่อารามนักพรตปรากฏแก่สายตา จึงเร่งฝีเท้าเข้าอารามไป
ภายในอารามกลับมีผู้คนมานมัสการอยู่หลายคน โต๊ะอิดพั้งเดินผ่านประตูอาราม ขึ้นบันไดโบสถ์ไป พลันเห็นสตรีสาวนางหนึ่งเดินออกมาอย่างรีบร้อน นางมีรูปโฉมงามผุดผาด ประหนึ่งเทพธิดาลงสู่หล้ามาตรว่าเห็นเพียงแวบเดียว ยังชวนให้วาบหวิวหวั่นไหว
โต๊ะอิดพั้งเดินเข้าโบสถ์ แสดงความจำนงขอเข้าพบเจ็งเคี้ยงเต้าหยิน เจ็งเคี้ยงเต้าหยินชักนำโต๊ะอิดพั้งเข้าห้องปรุงยา สั่งนักพรตน้อยชงชามีชื่อของฮั้วซัวมาต้อนรับ
โต๊ะอิดพั้งฝากความระลึกถึงของซือแป๋ต่อเจ็งเคี้ยงเต้าหยิน เจ็งเคี้ยงเต้าหยินกล่าวว่า “เรากับซือแป๋ท่านไม่ได้พบกันสิบปีแล้ว คิดไม่ถึงเขาสามารถอบรมศิษย์อันประเสริฐเช่นนี้คนหนึ่ง”
หยุดเล็กน้อยจึงกล่าวอีกว่า “เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ซาซือเจ่ก (ศิษย์ผู้น้องคนที่สาม) ของอาจารย์ท่านอั้งฮุ้นเต้าหยิน เคยผ่านมายังที่นี้”
โต๊ะอิดพั้งกล่าวถามว่า “ซาซือเจ่กข้าพเจ้ามาทำอะไร?”
เจ็งเคี้ยงเต้าหยินกล่าวว่า “ฟังว่าศิษย์รุ่นที่สองของสำนักบู๊ตึงห้าคน ล้วนถูกอสุรีหยกฟันนิ้วขาด ทั้งยังถูกนางหยามหยันเป็นที่อัปยศ อั้งฮุ้นเต้าหยินจึงต้องการคิดบัญชีกับอสุรีหยก เป็นเราเกลี้ยกล่อมเขา อย่าได้ถือสาผู้เยาว์รุ่นหลัง ภายหลังไม่ทราบเขารุดไปหรือไม่?”
โต๊ะอิดพั้งครุ่นคิดขึ้น ‘ไม่ว่าไปถึงที่ใด ล้วนได้ยินผู้คนเอ่ยถึงอสุรีหยก นางอสูรนี้ไม่ทราบดุร้ายถึงเพียงไหน?’
ทั้งสองสนทนากันครู่หนึ่ง ที่เบื้องนอกบังเกิดเสียงฟ้าร้องครืนครั่น แต่ฝนยังไม่ตกลงมา เจ็งเคี้ยงเต้าหยินกล่าวว่า “ดูท่าต้องเกิดฝนตกหนัก ท่านพักอยู่ที่นี้คืนหนึ่งเถอะ”
โต๊ะอิดพั้งเป็นห่วงแต้อั้งไท้กับซากโครงกระดูกของบิดา จึงกล่าว “ข้าพเจ้ายังมีสหายรอคอยอยู่ ตอนลงจากเขาค่อนข้างรวดเร็วกว่า ข้าพเจ้ายังคงเร่งรุดกลับไป”
เจ็งเคี้ยงเต้าหยินฝากความระลึกถึงจี่เอี้ยงเต้าเจี้ยง ส่งแขกออกจากประตูอาราม โต๊ะอิดพั้งพอลงมาถึงกลางภูเขา พลันได้ยินเสียงอสนีบาตครืนใหญ่ เมฆดำบดบังท้องฟ้า ฝนใกล้ตกลงมา
โต๊ะอิดพั้งกวาดตามองรอบข้าง พลันเห็นบริเวณไหล่เขามีถ้ำใหญ่แห่งหนึ่ง เหนือปากถ้ำสลักอักษรคำ “อึ้งเล้งตั่ง” (ถ้ำมังกรเหลือง) นอกถ้ำเพาะปลูกต้นไผ่เป็นพุ่ม และต้นสนโบราณหลายต้น ยังมีโต๊ะหินม้าหิน คาดว่านักพรตในอารามเห็นถ้ำศิลานี้มีทิวทัศน์งดงาม จึงตกแต่งสถานที่เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ
โต๊ะอิดพั้งลอบร้องคำ “โชคดี” ในใจ ถ้ำศิลานี้พอดีใช้เป็นที่หลบฝน ดังนั้นสาวเท้าเข้าไป หลังจากเข้าถ้ำ ที่เบื้องนอกปรากฏฝนเทกระหน่ำลง
ถ้ำนี้มีความลึกไม่น้อย โต๊ะอิดพั้งเดินถึงส่วนลึกของถ้ำ พลันรู้สึกเบื้องหน้าสายตากระจ่างจ้า บนม้ายาวภายในถ้ำ นอนไว้ด้วยสตรีสาวอายุเยาว์ ผิวพรรณประหนึ่งเย้ยหิมะให้ได้อายนางหนึ่ง กลับเป็นสตรีที่พบพานในอารามนักพรต นางยามนิทรารมณ์ อิริยาบถยิ่งชวนวาบหวิวรัญจวน
โต๊ะอิดพั้งเป็นศิษย์สำนักมาตรฐาน มีมารยาทอันสำรวม แทบไม่กล้าจับจ้องมองตรงๆ เห็นนางหลับสนิท ก็ไม่กล้าปลุกนางตื่นขึ้น หวนนึกถึงหากนางตื่นขึ้นมาไยมิใช่เข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นบุรุษเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม? ดังนั้นย่องฝีเท้าเดินกลับออกไป ถึงบริเวณใกล้ปากถ้ำ ทรุดนั่งขัดสมาธิลง
เห็นฝนที่เบื้องนอกยิ่งตกยิ่งหนัก มาตรว่าหัวใจโต๊ะอิดพั้งเต้นราวเภรี หวนนึกถึงรูปโฉมโนมพรรณของสตรีสาว แต่กระทั่งเหลียวหน้ายังไม่กล้าเหลียวหน้ากลับไปมองดู
นั่งอยู่ครู่หนึ่ง โต๊ะอิดพั้งรู้สึกว่า ภายในถ้ำหนาวเย็นคุกคามคนต้องครุ่นคิดขึ้น ‘เราเป็นผู้ฝึกปรือวิชาบู๊ ยังรู้สึกเหน็บหนาว สตรีสาวภายในถ้ำไหนเลยทนทานได้ เกรงว่าจะหนาวเย็นจนเจ็บไข้ได้ป่วย’
จากนั้นโต๊ะอิดพั้งครุ่นคิดสืบต่อ ‘บุรุษสตรีอยู่ด้วยกันสองต่อสองมาตรว่าเป็นที่ครหา แต่หากปล่อยให้นางหนาวเย็นจนเจ็บป่วย ไหนเลยหักใจได้? มาตรว่านางตื่นขึ้นมา เราก็ยินดีให้นางดุว่า’ ดังนั้นย่องฝีเท้ากลับเข้าไป เปลื้องเสื้อยาวออก คลุมลงบนร่างนางอย่างแผ่วเบา ค่อยเดินย่องกลับออกไป
เดินไปไม่กี่ก้าว พลันได้ยินเสียงสตรีสาวนั้นพลิกตัว โต๊ะอิดพั้งไม่กล้าเหลียวหน้ามอง กลับได้ยินสตรีสาวนั้นร้องว่า “คนที่กำเริบเสิบสาน กลับกล้าข่มเหงข้าพเจ้า?”
โต๊ะอิดพั้งรีบกล่าวว่า “เซียวเนี้ยจื้อ (คำเรียกสตรีสาว) ขออย่าได้ตำหนิ ข้าพเจ้ารู้สึกภายในถ้ำหนาวเย็นคุกคามคน กริ่งเกรงท่านได้รับความเย็น จึงเพิ่มเติมเสื้อผ้าให้แก่ท่าน”
สตรีสาวนั้นพลันทอดถอนใจกล่าวว่า “ท่านโปรดเหลียวหน้ามา”
โต๊ะอิดพั้งลอบสงสัยใจ เหลียวหน้ากลับไป ยังคงไม่กล้าจ้องมองนางตรงๆ สตรีสาวนั้นยื่นส่งเสื้อยาวให้ กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นความเคลื่อนไหวของซิงแซ (ท่านที่เป็นบุรุษ) เมื่อครู่แล้ว ซินแซนับเป็นวิญญูชนอย่างที่ในชีวิตข้าพเจ้าไม่เคยพบพานมา หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น คงต้องฉวยโอกาสลวนลาม”
โต๊ะอิดพั้งครุ่นคิดขึ้น ‘สตรีนางนี้ไฉนพูดจาเปิดเผยถึงเพียงนี้’ ในใจครุ่นคิด รู้สึกใบหน้าร้อนผะผ่าว ได้ยินสตรีสาวนั้นกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าพเจ้าดุด่าท่าน เพียงข่มขู่ท่าน ขอท่านอย่าได้ตำหนิ”
โต๊ะอิดพั้งขมวดคิ้วครุ่นคิดขึ้น ‘ไหนเลยมีอารมณ์ปรวนแปรเช่นนี้ ยึดถือการดุด่าผู้คนเป็นเรื่องล้อเล่น’
สตรีสาวนั้นสังเกตสีหน้าโต๊ะอิดพั้งยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าพเจ้ามีนิสัยใจคอเช่นนี้ ดังนั้นผู้คนจำนวนมากล้วนเกรงกลัวข้าพเจ้า ภายหน้าข้าพเจ้าจะแก้ไขเปลี่ยนแปลง”
โต๊ะอิดพั้งได้ยินนางกล่าวโดยไร้ต้นสายปลายเหตุเช่นนี้ สร้างความประหลาดใจกว่าเดิม ครุ่นคิดขึ้น ‘ท่านเมื่อมีนิสัยใจคอเช่นนี้ ไยต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลง? ท่านแก้ไขหรือไม่ เกี่ยวข้องใดกับเราด้วย?’
สตรีสาวนั้นเห็นโต๊ะอิดพั้งเงียบงันไม่กล่าววาจา มีสีหน้าขุ่นเคืองอยู่บ้าง จึงกล่าว “ซิงแซยังมีโทสะหรือ?”
โต๊ะอิดพั้งรีบกล่าวว่า “เซียวเนี้ยจื้อกล่าววาจาใด ข้าพเจ้าไหนเลยมีโทสะต่อท่าน?”
สตรีสาวนั้นกล่าวด้วยความยินดีว่า “ข้าพเจ้าทราบว่าท่านไม่มีโทสะต่อข้าพเจ้า ท่านมีจิตใจดีงาม นับแต่ข้าพเจ้าถือกำเนิดมา ยังไม่เคยมีคนดูแลต่อข้าพเจ้าเช่นท่านมาก่อน”
โต๊ะอิดพั้งถามว่า “บิดามารดาท่านเล่า?”
สตรีสาวนั้นกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่ทันรู้ความ บิดามารดาก็เสียชีวิตแล้ว”
โต๊ะอิดพั้งกล่าวอย่างเสียใจว่า “อภัยที่ข้าพเจ้าถามไถ่วุ่นวาย สะกิดความเศร้าเสียใจของท่าน”
สตรีสาวนั้นพลันยกมือขาวผ่อง วางลงบนหัวไหล่โต๊ะอิดพั้ง โต๊ะอิดพั้งถลันหลบเลี่ยง สตรีสาวนั้นซวนเซเสียหลักแทบล้มลง โต๊ะอิดพั้งใช้นิ้วมือเกี่ยวสายรัดเอวของตนพัดพลิ้วขึ้น บังคับสายรัดแตะสัมผัสกับองค์เอวนาง ป้องกันมิให้นางล้มลง
สตรีสาวนั้นค่อยทรงกายมั่น กล่าวด้วยความกระดากกระเดื่องว่า “พื้นดินเปียกชื้น ใต้เท้าลื่นไหล หากมิใช่ซิงแซยื่นมือประคองข้าพเจ้าแทบสะดุดล้มลง”
พลันแย้มยิ้มออกมา กล่าวเสริมว่า “ข้าพเจ้ากล่าวผิดแล้ว มิใช่ยื่นมือ หากแต่ใช้สายรัดเอวประคับประคองข้าพเจ้าไว้”
โต๊ะอิดพั้งหน้าแดงวูบ ใบหูร้อนผ่าว ไม่กล้ากล่าวกระไร สตรีสาวนั้นพลันถามว่า “ท่านก็เกรงกลัวข้าพเจ้าหรือ?”
โต๊ะอิดพั้งลอบประหลาดใจ สตรีสาวนางนี้ไฉนกล่าววาจาคลุ้มๆ คลั่งๆ จากนั้นครุ่นคิด ‘นางไร้บิดามารดา ดังนั้นลำบากยากใจ ไม่อาจโทษว่านางเป็นเช่นนี้’ จึงกล่าว “ข้าพเจ้าเพียงรู้สึกว่าเสียวเจี้ยะน่าเวทนา”
สตรีสาวนั้นกล่าวเสียงสั่นสะท้านว่า “น่าเวทนา?”
โต๊ะอิดพั้งกล่าวสืบต่อ “ทั้งยังน่าเลื่อมใส เสียวเจี้ยะลำพังคนเดียวสามารถดำรงชีวิตถึงตอนนี้ ยังกล้าขึ้นเขาฮั้วซัว นมัสการอารามนักพรต หากมิใช่มีความกล้าหาญอันเข้มแข็งยังทำไม่ได้”
สตรีสาวนั้นก้มศีรษะกล่าวว่า “ท่านกล่าวถูกต้อง ท่านไฉนคล้ายกับเป็นสหายของข้าพเจ้าก็ปาน นี่ท่านเรียกว่าอะไร ข้าพเจ้ายังไม่ได้เรียนถามท่าน”
โต๊ะอิดพั้งบอกชื่อแซ่ออกไป พร้อมกับถามไถ่นามของสตรีสาว สตรีสาวนั้นกล่าวว่า “ข้าพเจ้าแซ่เลี่ยง ข้าพเจ้าไม่มีชื่อ ท่านตั้งให้แก่ข้าพเจ้าชื่อหนึ่งดีหรือไม่?”
ยามนั้น เสียงฝนที่เบื้องนอกค่อยสร่างซา ลมหอบหนึ่งโชยพัดเข้ามา โบกชายเสื้อของสตรีสาวกระพือพลิ้ว เป็นอิริยาบถอันงดงามชวนวาบหวิว โต๊ะอิดพั้งพลันนึกถึงข้อความ “งี้เซี้ยงอู้อี”* ขึ้นมา
(* คำงี้เซี้ยงอู้อีคงแปลได้ความว่า อาภรณ์รุ้งภูษาขนนก มีที่มาดังนี้ ถังเฮี้ยงจงในราชวงศ์ถังทรงสุบินว่า เสด็จถึงตำหนักจันทรา เทพธิดาหลายร้อยนางสวมอาภรณ์รุ้ง ร่ายรำต้อนรับกลางท้องพระโรง บทเพลงที่บรรเลงเรียกว่า งี้เซี้ยงอู้อี พระองค์ทรงจดจำทำนองเพลงไว้มีพระบัญชาให้นักดนตรีประจำราชสำนักแต่งทำนองเพลงตามนั้น)
นึกถึงตอนนี้ โต๊ะอิดพั้งตอบโพล่งออกไปว่า “งี้เซี้ยง (อาภรณ์รุ้ง) ดีหรือไม่?”
สตรีสาวนั้นพลันหน้าแปรเปลี่ยนไป ตวาดว่า “ท่านเป็นใคร? รีบบอกมาตามความสัตย์”
โต๊ะอิดพั้งใจหายวูบ กล่าวว่า “ข้าพเจ้าคือโต๊ะอิดพั้ง เลี่ยงเสียวเจี้ยะตำหนิว่าชื่อนี้ไม่ดี ก็ไม่ต้องใช้ ไยต้องมีโทสะไป?”
ดวงตาสตรีสาวนั้นเป็นประกาย จับจ้องมองโต๊ะอิดพั้งตลอดเวลาพอฟังจบคำ ค่อยสงบเยือกเย็นลง กล่าวว่า “ข้าพเจ้ามีโทสะอีกแล้ว ท่านตั้งชื่อให้แก่ข้าพเจ้าได้ดียิ่ง ภายหน้าข้าพเจ้าจะเรียกว่าเลี่ยงงี้เซี้ยง”
โต๊ะอิดพั้งปาดเช็ดเหงื่อเย็นเยียบบนหน้าผาก ครุ่นคิดขึ้น ‘เสียวเจี้ยะผู้นี้สร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้คนจริงๆ’
เลี่ยงงี้เซี้ยงพลันกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นซิงแซแตกฉานวิทยายุทธ ไม่ทราบขึ้นเขาฮั้วซัวด้วยเรื่องใด?”
โต๊ะอิดพั้งกล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่สำนักบู๊ตึง ร่ำเรียนวิชาแมวสามขาอยู่หลายท่า ไหนเลยกล้ารับคำแตกฉานได้? คราครั้งนี้ข้าพเจ้าเคลื่อนย้ายซากโครงกระดูกของบิดากลับมาตุภูมิไปกลบฝัง ระหว่างทางผ่านภูเขาฮั้วซัว จึงขึ้นเขามานมัสการอารามนักพรต”
ที่แท้สตรีสาวนี้คืออสุรีหยกเลี่ยงงี้เซี้ยง โต๊ะอิดพั้งตั้งชื่อให้แก่นาง ประจวบตรงกับชื่อจริงของนาง จึงสะกิดความสงสัยแก่อสุรีหยกขึ้น
เมื่อครู่นี้อสุรีหยกทดสอบโต๊ะอิดพั้ง ดูออกว่าโต๊ะอิดพั้งเป็นยอดฝีมือสำนักบู๊ตึง พลังฝีมือยังเหนือล้ำกว่าก้วงเสียวน้ำ ตอนแรกเข้าใจว่าโต๊ะอิดพั้งคิดทวงถามความแค้น คิดไม่ถึงโต๊ะอิดพั้งบ่งบอกสังกัด สำนักอาจารย์โดยไม่อำพราง ดูจากท่าที่ของเขา ไม่ทราบว่านางเป็นอสุรีหยก ต้องลอบหัวร่อในใจ
อสุรีหยกเลี่ยงงี้เซี้ยงแย้มยิ้มพริ้มพราย กล่าวว่า “ข้าพเจ้าฟังว่าเพลงกระบี่สำนักบู๊ตึงไร้ผู้ต่อต้าน ไฉนบอกเป็นวิชาแมวสามขา?”
โต๊ะอิดพั้งกล่าวว่า “วิชาฝีมือไร้ขอบเขต เหนือฟ้ายังมีฟ้า วิทยายุทธทุกค่ายสำนักล้วนมีปมเด่นเฉพาะ ไหนเลยพิชิตโดยไร้ผู้ต่อต้านได้? เพียงแต่สำนักบู๊ตึง เสียวลิ้มมีประวัติศาสตร์ยาวนาน กำเนิดยอดฝีมือไม่ขาดสาย ชาวยุทธจักรจึงให้คำนิยมชมเชย ส่วนข้าพเจ้าสมองโง่ทึบ มาตรว่ากราบอาจารย์ล้ำเลิศ แต่เรียนตำราหัดกระบี่ไม่สำเร็จยิ่งไม่ควรแก่การเอ่ยอ้าง”
ยามนี้โต๊ะอิดพั้งระแวงสงสัยว่า สตรีสาวเลี่ยงงี้เซี้ยงนี้รู้จักวิชาฝีมือจึงกล่าวถ่อมตนเป็นพิเศษ อสุรีหยกตั้งใจสดับฟัง ผงกศรีษะรับ พลันเดินเข้าหาโต๊ะอิดพั้ง โบกแขนเสื้อออก ก็คว้าจับข้อมือโต๊ะอิดพั้งไว้
โต๊ะอิดพั้งใจหายวาบ ไม่ทราบตัวเองไฉนหลบไม่พ้น พริบตานั้นใบหน้ากลับกลายเป็นแดงก่ำ ทดลองสะบัดดิ้นรน อสุรีหยกก็จงใจคลายมือออก
เสียงฝนที่นอกถ้ำค่อยสงบลง บนยอดเขาบังเกิดเสียงกู่ดังแว่วมาอย่างเลือนราง อสุรีหยกร้องโอยกล่าวว่า “ข้าพเจ้ากลัวยิ่ง พอหวาดกลัวก็คิดฉุดดึงผู้คนอยู่เป็นเพื่อนท่านกลับไม่สนใจข้าพเจ้า”
โต๊ะอิดพั้งไม่ทราบว่านางจงใจหรือไร้เจตนา ยิ่งคาดเดาไม่ออกว่านางรู้จักวิชาฝีมือหรือไม่ แต่เห็นนางมีท่าทีน่าเวทนา อดกล่าวมิได้ว่า “หากเสียวเจี๊ยะบังเกิดความกลัว ข้าพเจ้าจะส่งท่านกลับบ้านไป”
อสุรีหยกเดินถึงบริเวณปากถ้ำ แหงนมองท้องฟ้าคราหนึ่ง กล่าวว่า “ฝนใกล้หยุดตก มีคนรอคอยข้าพเจ้าอยู่ ไม่ต้องรบกวนท่านแล้ว”
ชั่วครู่ให้หลัง ฝนซาขาดเม็ด เมฆสลายคลายสิ้น อสุรีหยกจึงกล่าว “ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะกลับบ้านแล้ว”
โต๊ะอิดพั้งความจริงคิดถามนาง ‘ท่านเมื่อไร้บิดามารดา ในบ้านยังมีผู้ใด?’ แต่เห็นนางกล่าววาจาประพฤติตัวลึกลับ ไม่ทราบเพราะเหตุใด ในใจเกรงกลัวนางอยู่บ้าง ไม่กล้าอุกอาจถามชาติกำเนิดของนาง เพียงกล่าวว่า “อย่างนั้นข้าพเจ้าจะลงจากเขาแล้ว”
อสุรีหยกกล่าวว่า “ตกลง ท่านไปก่อนเถอะ”
โต๊ะอิดพั้งเดินออกจากปากถ้ำ อสุรีหยกพลันเรียกรั้งเขาไว้ โต๊ะอิดพั้งจึงเหลียวหน้ากลับมาอย่างงุนงง อสุรีหยกกล่าวว่า “ท่านต้องรับปากข้าพเจ้าเรื่องหนึ่ง”
โต๊ะอิดพั้งกล่าวว่า “ท่านบอกมาฟังดู ข้าพเจ้ารับปากได้จะรับปาก”
อสุรีหยกกล่าวว่า “เรื่องที่ท่านพบกับข้าพเจ้า ห้ามมิให้บอกต่อผู้ใด”
โต๊ะอิดพั้งยิ้มพลางกล่าวว่า “เรื่องนี้รับปากได้ พวกเราพบพานโดยบังเอิญ ผ่านพ้นก็แล้วกันไป ข้าพเจ้าบ่งบอกไยกัน?”
ขอบตาของอสุรีหยกแดงระเรื่อ กล่าวว่า “ที่แท้ท่านไม่จดจำข้าพเจ้าอยู่ในจิตใจ”
โต๊ะอิดพั้งไม่ทราบสมควรวางตัวอย่างไร ได้แต่กล่าวว่า “ข้าพเจ้ากำลังจะกลับบ้านเกิดที่เซียมไซตอนเหนือ ภายภาคหน้าพวกเราไม่แน่ว่าจะได้พบกันอีก แต่หากสามารถพบหน้ากันใหม่ข้าพเจ้าจะยึดถือท่านเป็นสหาย”
อสุรีหยกโบกมือกล่าวว่า “ประเสริฐ ท่านไปเถอะ”
โต๊ะอิดพั้งโลดแล่นลงจากเขา พอถึงกลางทาง ทดลองเหลียวหน้ากลับไป อสุรีหยกยังยืนพิงอยู่หน้าโขดหิน เห็นเงาร่างอย่างเลือนลาง
โต๊ะอิดพั้งกลับถึงโรงเตี๊ยมที่พัก แต้อั้งไท้พอเห็นโต๊ะอิดพั้ง จึงถามว่า “ท่านขึ้นเขาฮั้วซัวไปแล้ว พบพานเจ็งเคี้ยงเต้าหยินหรือไม่?”
โต๊ะอิดพั้งกล่าวว่า “พบพานแล้ว”
แต้อั้งไท้พลันกล่าวว่า “น่าเสียดายที่เจ็งเคี้ยงเต้าหยินไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องราวไร้สาระ”
โต๊ะอิดพั้งฟังออกว่า คำพูดนี้มีความหมายเคลือบแฝงจึงถามว่า “ผู้อาวุโสแซ่แต้มีเรื่องใด?”
แต้อั้งไท้คิดกล่าวแต่แล้วกล้ำกลืนไว้ ย้อนถามว่า “ท่านขึ้นเขาฮั้วซัว นอกจากเจ็งเคี้ยงเต้าหยินแล้วยังพบพานผู้มีฝีมืออันใดหรือไม่?”
โต๊ะอิดพั้งใจสั่นสะท้าน หวนนึกถึงคำพูดของอสุรีหยก ต้องโป้ปดว่า “ไม่พบพาน”
แต้อั้งไท้ไม่ซักถามสืบต่อ หลังจากรับประทานอาหารค่ำ ทั้งสองก็แยกย้ายเข้านอน หลับใหลถึงกลางดึก ที่ห่างไกลบังเกิดเสียงกู่ดังแว่วมาอย่างเลือนลาง ปลุกโต๊ะอิดพั้งสะท้านตื่นขึ้นมา
ยามนั้น ที่เบื้องนอกมีคนเคาะประตูเบาๆ แว่วเสียงแต้อั้งไท้ดังว่า “โต๊ะเฮีย เปิดประตู”
โต๊ะอิดพั้งถอดกลอนประตูออก แต้อั้งไท้เดินเข้ามา เขี่ยไส้ตะเกียงน้ำมันสว่างขึ้น ถามว่า “โต๊ะเฮีย ท่านเกรงกลัวอสุรีหยกหรือไม่?”
โต๊ะอิดพั้งกล่าวอย่างสงสัยใจว่า “ว่ากระไร?”
แต้อั้งไท้กล่าวว่า “เราต้องการให้ท่านตอบตามความสัตย์ว่า ท่านเกรงกลัวนางหรือไม่?”
โต๊ะอิดพั้งกล่าวว่า “ข้าพเจ้ายังไม่ได้พบกับนาง ไหนเลยเกรงกลัวนาง?”
แต้อั้งไท้กล่าวด้วยความยินดีว่า “ไม่กลัวก็ประเสริฐ นางควบคุมตัวโจ้วแป๋ท่านหยามหยันซือเฮียท่าน ท่านคิดล้างแค้นหรือไม่?”
โต๊ะอิดพั้งกล่าวว่า “นอกจากซือแป๋มีคำสั่ง ไม่เช่นนั้นข้าพเจ้าไม่คิดไปเสาะหานางเพื่อล้างแค้นโดยเฉพาะ”
แต้อั้งไท้กล่าวว่า “อย่างนั้นหากพบกันโดยบังเอิญเล่า?”
โต๊ะอิดพั้งรับฟังยิ่งตื่นเต้นสงสัย กระโดดปราดขึ้นกล่าวว่า “หรือว่าอสุรีหยกอยู่ที่นี้?”